(!) เนื่องจาก Microsoft จะหยุดให้การสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 7 ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2563 และอาจส่งผลให้ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ไม่สามารถใช้งานเว็บไซต์มิซูมิได้อย่างสมบูรณ์ กรุณาอัพเดทระบบและบราวเซอร์ตามเงื่อนไขระบบที่รองรับมิซูมิเว็บไซต์
เกจเป็นเครื่องมือวัดที่มีหลากหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทต่างก็มีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกัน คู่มือฉบับนี้จึงขอนำตัวอย่างการใช้งานเครื่องมือในสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อมภาพประกอบมานำเสนอให้ได้รู้จักกัน อนึ่ง เนื้อหาในคู่มือฉบับนี้เป็นการหยิบยกเพียงตัวอย่างการใช้งานเกจบางประเภทเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงเกจทุกชนิด
เกจ เป็นเครื่องมือวัดที่เหมือนไม้บรรทัด จัดเป็นเครื่องมือวัดที่มีความแม่นยำมากที่สุดและรวดเร็วที่สุดในการตรวจสอบ
ในกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ ขนาดของผลิตภัณฑ์ย่อมมีขีดจำกัดบนและขีดจำกัดล่าง ซึ่งผู้ออกแบบจำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับค่าสูงสุดและต่ำสุดที่คาดการณ์ไว้เพื่อกำหนดค่าความเผื่อ (Tolerance) ที่ยอมรับได้จากกระบวนการผลิต หากความเผื่อที่ยอมรับได้มีช่วงแคบ การตัดสินว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นไปตามข้อกำหนดหรือไม่ย่อมกระทำได้ยาก ด้วยเหตุนี้ เกจจึงเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดในการตัดสินใจดังกล่าว
การอบชุบแข็ง (การให้ความร้อนและความเย็นแก่โลหะเพื่อเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางกายภาพและทางกล)
โครงสร้างของเหล็กกล้าที่อุณหภูมิห้องนั้นเรียกว่าเฟอร์ไรต์ (Ferrite) เมื่อให้ความร้อนเฟอร์ไรต์จะเปลี่ยนสภาพเป็น*ออสทิไนต์ จากนั้นจึงเปลี่ยนสภาพเป็น*มาร์เทนไซต์ เมื่อทำให้เย็นตัวลง กระบวนการเหล่านี้คือการอบชุบแข็ง โดยอุณหภูมิที่ใช้ในการอบชุบแข็งของเหล็กกล้า SK SKS จะอยู่ที่ประมาณ 800⁰C ใขณะที่เหล็กกล้า SKD จะอยู่ที่ 1,000-1,050 ⁰C และเหล็กกล้า SKH จะอยู่ที่ 1,200 ⁰C ขึ้นไป
การบำบัดด้วยความเย็น (กระบวนการที่ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพจากการใช้งาน)
เหล็กที่ผ่านกระบวนการอบชุบแข็งแล้วจะถูกนำไปทำให้เย็นตัวลงต่ำกว่า 0ºC เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการสลายตัวของออสทิไนต์ โดยทัวไปแล้วจะใช้น้ำแข็งแห้ง (-78ºC) อย่างไรก็ตาม หากใช้ไนโตรเจนเหลว (-196ºC) เป็นสารทำความเย็นยิ่งยวดในการบำบัด (Cryogenics) จะช่วยให้ผลลัพธ์ในการย่อยสลายองค์ประกอบดังกล่าวดียิ้งขึ้น
ออสทิไนต์ที่ตกค้าง
โครงสร้างของมาร์เทนไซต์ทั้งหมดจะไม่เปลี่ยนสภาพอย่างครบถ้วนจากการเย็นตัวลงกลับสู่อุณหภูมิปกติเนื่องจากยังมีมีออสทิไนต์ที่ยังคงตกอยู่บางส่วนปะปนเข้าไปในระหว่างกระบวนการอบชุบแข็ง หากมีออสทิไนต์หลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมากจะทำให้ได้ความแข็งไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดหลังจากอบด้วยความร้อน
การบำบัดให้เกิดความคงตัว
ในการป้องกันการเสื่อมสภาพจากการใช้งานจำเป็นต้องมีการอบคืนตัวด้วยอุณหภูมิเฉลี่ย ช่วงอุณหภูมิเฉลี่ย (ประมาณ 500ºC) เป็นช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการสลายออสทิไนต์ตกค้าง หลังจากอบคืนรูปด้วยอุณหภูิที่เหมาะสมนี้แล้วออสทิไนต์ที่ยังคงตกค้างอยู่จะอยู่ในสถานะที่ถูกกระตุ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่มีแนวโน้มว่าจะถูกย่อยสลาย และ เกิดการเสื่อมอายุไป ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาด้วยการทำให้ออสทิไนต์ที่เหลืออยู่นั้นคงตัวนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อไปภายหลังจากที่ทำการบำบัดให้เกิดความคงตัวต่อไปอีกครั้งที่อุณหภูมิเฉลี่ยอื่นๆ ที่ 250-450 ºC
*ออสทิไนท์ (Austenite) : ชื่อเรียกของเหล็กกล้าในสถานะที่มีอุณหภูมิที่สูง
*มาร์เทนไซต์ (Martensite) : สารละลายของแข็งของเหล็กกล้าหลังจากที่อะตอมคาร์บอนเกิดการอิ่มตัว อย่างยิ่งยวด โดยธรรมชาติจะมีลักษณะเปราะบางไม่แข็ง
เหล็กกล้า
เหล็กกล้า SKS มาตรฐาน JIS หรือวัสดุอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติทางกลเทียบเท่า หรือ เหนือกว่า SKS ที่ได้ผ่านกระบวนการทางความร้อนเพื่อปรับความคงตัวแล้ว
เซรามิก
องค์ประกอบพื้นฐานของเซรามิกคือออกไซด์เมทัลลิที่ผ่านการอบด้วยอุณหภูมิสูงจนเกิดการบีบอัดแน่นแบบเผาผนึก (Sintering) เซอร์โคเนีย
ซีเมนต์ คาร์ไบด์
โลหะผสมที่เกิดจากการนำวัสดุเมทัลลิคมาเชื่อมพันธะกันผ่านการเผาผนึก
เหล็กกล้าสแตนเลส
วัสดุประเภทนี้ประกอบด้วยโครเมียมและการผสานกันของออกซิเจนภายในอากาศโดยขึ้นรูปเป็นเป็นชั้นฟิล์มบาง ๆ บนพื้นผิวซึ่งช่วยป้องกันสนิม จึงไม่จำเป็นต้องนำไปชุบผิวหรือเคลือบสารกันสนิมใด ๆ
ความแข็งแบบวิกเกอร์ | ความแข็งแกร่ง | ความเหนียว | ความถ่วงจำ - เพาะ | ค่าสัมประสิทธิ์การ ขยายตัวของความร้อน |
ค่าการนำความร้อน | |
---|---|---|---|---|---|---|
อะลูมินา | 1,800 | 370 | 3~4 | 3.9 | 7.2 | 32 |
เซอร์โคเนีย | 1,200 | 200 | 7~8 | 6.0x | 10.5 | 3 |
แสตนเลส (SUS304) |
1,200 | 620 | 20 | 16 | 5.5 | 85 |
คาร์ไบด์ (G2) |
450 | 200 | 210 | 7 | 18 | 41 |
เหล็กกล้า (SKH) |
730 (ชุบแข็ง) |
205 | 110~1 | 7.8 | 11 | 76 |
• การทดสอบค่าความแข็งของวิกเกอร์ (HV)
ในการทดสอบความแข็งให้ใช้หัวกดเพชรรูปทรง พิระมิดสี่เหลี่ยมจตุรัสกดลงบนพื้นผิวของวัสดุ
• ความแข็งแกร่ง (GPa)
คุณสมบัติของวัสดุจะทนต่อการเสียรูปร่างเนื่องจากแรงภายนอก เช่น การบีบอัด การกระแทก การบิดหมุน ฯลฯ
• ความเหนียว (GPa)
วัสดุมีการยึดติดกันแน่นมากซึ่งช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของวัสดุจากแรงกระทำจากภายนอกได้ดี
• ค่าความถ่วงจำเพาะ
ค่าอัตราส่วนระหว่างมวลของวัตถุต่อมวลของวัตถุอ้างอิงที่นำมาเปรียบเทียบในปริมาตรที่เท่ากัน
• การขยายตัวทางความร้อน
การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทำให้ความยาวและปริมาตรเพิ่มขึ้น
• การนำความร้อน
การที่ความร้อนเคลื่อนที่จากจุดที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยังจุดที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าภายในวัตถุ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือปรึกษาเรื่องเวลารับคำสั่งซื้อและกำหนดส่ง
ติดต่อฝ่าย Customer Service
โทร.038-959-200 กด 1 หรือ อีเมล cs@misumi.co.th